เปิดขุมพลังหนังสือ “เน้น” ภาพ ที่หลายคนเข้าใจว่า “เด็กไป” และ “ไม่คุ้มอ่าน”
- บ้างกางใจ
- 5 พ.ค.
- ยาว 2 นาที
เมื่อก้าวผ่านประตูไม้เข้าไปยังสถานพัฒนาเด็กเล็ก “บ้านกางใจ” ย่านพระราม 3 สิ่งที่เราจะได้เห็นเป็นอย่างแรกๆ คือ คุณครูผู้ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น คลังของเล่นน่าสนุกที่จัดเตรียมมาแล้วพร้อมสรรพสำหรับส่งเสริมพัฒนาการแต่ละช่วงวัย และหนังสือภาพนับพันกว่าเล่มที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั่วโลก
หัวใจของแหล่งเรียนรู้ที่เน้นใช้ “เรื่องเล่า” และ “ภาพประกอบ” ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้ปกครองและเด็กๆ แห่งนี้ คือ ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก นำโดยครูไนซ์ - กะวิตา พุฒแดง ผู้เพิ่งมีผลงานหนังสือภาพเล่มแรกเขียนจากประสบการณ์การทำงานกับเด็กๆ นานหลายปี
หนังสือภาพเกือบไร้คำ ชื่อ “ร้อน” เรื่องโดย ครูไนซ์ ภาพโดย มิมิ
เล่าถึงเด็กน้อยและเพื่อนๆ ที่กำลังเผชิญสถานการณ์โลกร้อนอันน่าสิ้นหวัง
แต่แล้วเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะเกินเยียวยา ทุกคนก็ร่วมใจกันเปลี่ยนแปลงโลกเสียใหม่
และทำให้ต้นไม้กลับมาเขียวขจีดังเดิม
หนังสือภาพกับพลังที่ซ่อนเร้น
นอกจากครูไนซ์จะเขียนหนังสือภาพเองแล้ว (โดยมีเด็กๆ ผู้กระตือรือร้นช่วยออกแบบฟอนต์และทดสอบภาพ) บ้านกางใจยังเป็นแหล่งรวมหนังสือภาพหลากเล่ม หลายธีม
“ในบ้านมีหนังสือประมาณพันกว่าเล่มเกือบ 1,300 เล่ม ไม่มีเล่มไหนที่สั่งสอนหรือบังคับเด็กเลย จะเป็นปลายเปิดหมด” ดวงตาของครูไนซ์เป็นประกายทุกครั้งเมื่อเล่าถึงคอลเล็กชันหนังสือนานาชาติของเธอ กับความหวังที่ว่า วันหนึ่งบ้านกางใจจะได้ทำหน้าที่เป็นห้องสมุดหนังสือเด็กซึ่งเปิดให้ผู้สนใจได้เข้ามาเลือกอ่านกัน
‘ขุมทรัพย์’ ที่ซุกซ่อนอยู่บนชั้นหนังสือภาพมากมายนั้นยังมี ‘หนังสือไร้คำ’ (wordless picture book) กว่า50ร้อยเล่มที่รอให้ผู้ใหญ่และเด็กได้เปิดอ่าน หนังสือไร้คำขึ้นชื่อมานานแล้วในไทยว่าสั่นคลอนความมั่นใจของพ่อแม่ครูหลายคนในการเล่านิทานให้เด็กฟัง เพราะไม่รู้ว่าจะเล่าภาพออกมาเป็นเรื่องได้อย่างไร แต่การเล่าเรื่องที่เน้นภาพและไม่เน้นคำเลยนั้นไม่ใช่แค่เป็นไปได้ แต่ยังสนุก และบางครั้งก็ส่งพลังสั่นสะเทือนเข้าไปถึงในใจ จนเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ สำหรับครูไนซ์แล้ว เธอได้สัมผัสพลังของหนังสือภาพครั้งแรก ครั้งยังเป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ที่นิตยสารอะ เดย์ (a day)
“ตอนเด็กๆ เราไม่ชอบอ่านนิทานอีสปเลย รู้สึกว่าทำไมเจอขวานแล้วต้องเป็นคนดี ทำไมต้องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันน่าเบื่อมากสำหรับเรา เราไม่ชอบอ่านนิทานพวกนั้น แล้วก็ไม่ชอบภาพด้วย อาจเป็นเพราะเราไม่ชอบคาแรคเตอร์แบบนั้นก็ได้” ครูไนซ์ย้อนความหลัง “แต่พอมาทำนิตยสารฉบับที่เล่าเรื่อง “นิทาน” เราเลยได้พบกับหนังสือภาพเรื่องแรก ชื่อ The Snowman เป็นหนังสือภาพล้วนๆ ไม่มีคำเลย ตอนนั้นเราอายุ 19-20 แล้ว แต่ยังน้ำตาไหลไปกับมัน ทำไมนะ เหมือนโลกมันเงียบ แล้วเราก็หลุดเข้าไปในหนังสือเล่มนั้น”
The Snowman (1978) โดย เรย์มอนด์ บริกก์ส หนังสือภาพไร้คำคลาสสิกที่นักอ่านทั่วโลกหลงรัก
เล่าเรื่องตุ๊กตาหิมะที่ตื่นขึ้นมามีชีวิตในตอนกลางคืน
แล้วพาเด็กน้อยที่ปั้นเขาขึ้นมาออกไปผจญภัยด้วยกัน
การได้ไปเยือนห้องวรรณกรรมสำหรับเด็กที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒบ่อยๆ ช่วงที่เป็นนักศึกษายังทำให้เธอพบว่าหนังสือภาพหลากหลายกว่าที่คิด และเมื่อเข้าเรียนป. โท ด้านวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การใช้หนังสือภาพเยียวยาผู้คนก็ได้กลายมาเป็นความสนใจที่หยั่งรากลึกและผลิบานตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โปรดให้ภาพสัมผัสใจคนทุกวัย
ใครที่ติดตาม เพจบ้านกางใจ อยู่อาจเคยได้เห็นมาบ้างแล้วว่า หนังสือภาพไม่เพียงแต่พาผู้ใหญ่หวนกลับไปเปิดจินตนาการและระบายความคิดสร้างสรรค์ผ่านการเล่านิทาน แต่ยังเป็นสื่อเชื่อมโยงและคลี่คลายปมวัยเด็ก (inner child) ในกิจกรรมบำบัดที่ทีมงานจัดให้พ่อแม่ผู้ปกครองด้วย สิ่งเหล่านี้ย้ำเตือนว่า หนังสือภาพเข้าถึงคนได้ทุกวัยและหลากหลายที่มา ไม่จำกัดอยู่แค่กับนักอ่านเด็กเล็กเท่านั้น
“ในไทย การแบ่งหมวดหนังสือภาพยังชัดอยู่มากว่าต้องให้อนุบาลอ่าน ซึ่งไม่จริงเลย เป็นไปได้อย่างไรที่แค่ปิดเทอมเดือนเดียว พอเปิดเทอมมาเป็นเด็กป. 1 แล้วจะอ่านหนังสือของอนุบาลไม่ได้ ทั้งที่ภาพมันยังทำงานกับใจเขาอยู่ เราเคยเห็นเด็กที่โตมาแล้วยังอ่านหนังสือภาพ หรือกระทั่งวัยรุ่นอ่านมังงะ โดนแซวว่ายังไม่โตสักที กรอบที่ตีตราเรามันเยอะไปหมด”
ข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นพลังของภาพและเรื่องราวอย่างชัดเจนนั้น มาจากคราวที่ครูไนซ์และเพื่อนได้เข้าไปทำโครงการบรรณบำบัด (bibliotherapy) กับเยาวชนในสถานพินิจนานสามเดือน
“เราเคยได้ยินคำว่า ‘บรรณบำบัด’ มาบ้าง พอหางานวิจัยไทยอ่าน เราก็พบว่าหนังสือที่เขาใช้มักจะเป็นวรรณกรรมระดับสูง เช่น หนังสือของทมยันตี เพชรพระอุมา … น้องๆ ในสถานพินิจ 90% มีปัญหาอ่านออกเขียนได้อยู่แล้ว และไม่สนุกกับการอ่านตัวอักษรเยอะๆ จึงไม่แปลกที่ผลงานวิจัยจะประเมินว่า พวกเขาเครียดมากขึ้นหลังจากบำบัดด้วยหนังสือ”
เมื่อจับจุดได้ว่าทักษะการอ่านของเยาวชนกลุ่มเป้าหมายพอเทียบได้กับเด็กเล็กที่กำลังกระตือรือร้นกับการอ่านภาพ ทีมงานจึงได้นำหนังสือภาพเกือบ 200 เล่มเข้าไปทำกิจกรรม โดยเริ่มจากหนังสือภาพ ‘แมว 11 ตัวกับยักษ์อุฮิอะฮะ’
‘แมว 11 ตัวกับยักษ์อุฮิอะฮะ’ (1982) โดย โนโบรุ บาบะ
เล่าเรื่องของเหล่าแมวที่ไม่เคยปฏิบัติตามกฎหรือข้อห้ามบนป้ายเลย
จนกระทั่งพวกมันถูกยักษ์หลอกให้ทำตรงข้ามกับที่ป้ายบอก แล้วถูกจับไปขังกรงเตรียมโดนกิน
“พวกเราหยิบเล่มนี้ไปแค่เพราะอยากปลุกความคิดสร้างสรรค์ว่า แมวมันเดิน 2 ขานะ แล้วท้องฟ้าก็เป็นสีชมพู แต่กลายเป็นว่าเด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมากเรื่องที่เขาทำผิด จากแค่ภาพช็อตเดียวที่แมวโดนจับเหมือนกับเขา” ครูไนซ์เล่าว่า หลังจบโครงการ 12 ครั้ง เยาวชนหลายคนสะท้อนคิดกลับมาแบบที่ผู้จัดโครงการคาดไม่ถึง ว่าหากได้อ่านเรื่องของแมว 11 ตัวก่อน พวกเขาคงไม่ตัดสินใจกระทำความผิด “น้องๆ บอกว่า เขาคงไม่ตัดสินใจขโมยรถ เขาคิดถึงแม่จังเลย ถ้าเขาไม่ได้ทำผิดอะไรไป เขาน่าจะได้อยู่กับแม่ในวันนี้ สิ่งที่เขาสะท้อนออกมาล้วนแต่เป็นความรู้สึก … เขาดูภาพแล้วเกิดการเรียนรู้ภายใน และย่อยออกมาเป็นคำพูดได้”
ครูไนซ์สะท้อนด้วยว่า เยาวชนในสถานพินิจส่วนใหญ่ขาดความรักความอบอุ่นพื้นฐานจากครอบครัวและมักจะมีคำถามว่า ‘คนเราเกิดมาทำไม’ ‘แม่เป็นอย่างไร’ หนังสือที่มีภาพและเรื่องราวเกี่ยวกับแม่จึงเป็นที่นิยม “นิทานที่เราคิดว่าน้องอาจจะชอบ เช่น เรื่องการต่อสู้ มีพลังวิเศษ ยังถูกหยิบไม่บ่อยเท่าหนังสือที่เล่าเรื่องจิงโจ้แม่ลูกอ่อน หรือเรื่องที่มีเบบี๋กับสัตว์ตัวเล็กๆ ทั้งหมดสะท้อนกลับไปที่ ‘ความเป็นเด็ก’”
นอกจากภาพในนิทานจะช่วยปลุกความรู้สึกละเอียดอ่อนในใจผู้อ่านแล้ว ภาพถ่ายสวยๆ ในนิตยสาร National Geographic ก็ได้รับการตอบรับดีมาก “น้องๆ ดูจะมีประสบการณ์มากขึ้นจากการได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ปกติเวลาเราถามว่า วันนี้รู้สึกยังไง คำตอบก็จะมีแค่ ‘สบาย’ ‘เหนื่อย’ แต่พอมีภาพเข้ามา คำตอบก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น เราพบว่าน้องๆ หิวการเรียนรู้ … ครั้งแรกๆ ก็แน่นอนว่าเขิน แต่พอผ่านไปเราพบว่า เมื่อถึงเวลาอ่านปุ๊บ ทุกคนก็จะจดจ่ออยู่กับมันโดยที่เราไม่ต้องบิ้วอะไรเลย แค่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เขาก็พอ” เธอกล่าว
“พอเราเปิดพื้นที่ให้เขาอ่านอย่างอิสระ เด็กก็จะกล้านึกฝันว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับหนังสือเล่มนี้ โดยไม่ต้องกังวลว่าอ่านถูกอ่านผิด หรือว่าเนื้อหานั้นเล่มนี้มันเป็นยังไง เพราะภาพมันมันชัดด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ภาพมันไม่ทำร้ายเค้า เขาจะตีความยังไงก็แล้วแต่การรับรู้ของเขาเลย เขาจึงกล้าหยิบหนังสือมาเปิดอ่านเพราะจะไม่ถูกตีตราว่า ‘โง่’ ที่อ่านไม่ออก ตีความไม่ได้”
เมื่อถามว่าภาพในหนังสือทำงานกับเยาวชนอย่างไร แล้วพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางใดบ้าง ครูไนซ์อธิบายว่า “คงไม่ค่อยมีใครถามนักโทษว่าตอนเด็กๆ เธอเป็นยังไง มีความสุขมั้ย แต่ภาพในหนังสือมันชวนให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างในวัยเด็กขึ้นมาได้ แล้วเริ่มเชื่อมโยงตัวเองในวันนี้กับวัยเด็กที่อยู่ในตัว … การได้เชื่อมโยงกับตัวเองในวัยเด็ก อาจหมายถึงการเห็นคุณค่าในตัวเองเพิ่มขึ้น ปลอบโยนเด็กคนนั้น และให้อภัย เราอาจเห็นแววตาเวลาเขามองตัวเองว่ามันไม่ได้สิ้นหวัง หรืออาจเปลี่ยนจากเด็กที่ต้องวางฟอร์ม กลายเป็นคนที่รู้สึกปลอดภัย เป็นตัวของตัวเองได้เวลาเข้ามาในห้องอ่านหนังสือ”
ครูไนซ์เล่าด้วยว่า อีกเหตุการณ์ที่ทลายกรอบคิดของเธอเรื่องหนังสือภาพ ก็คือตอนที่เธอเล่านิทานให้เด็กๆ ที่มารอพ่อแม่ทำงานในตลาดฟัง แล้วพบว่ากระทั่งเด็กประถมปลาย-ม.ต้น ก็ยังใช้เวลาจดจ่ออยู่กับภาพในหนังสือได้เป็นชั่วโมง แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมอึกทึกครึกโครมข้างร้านสะดวกซื้อก็ตาม
“มันฉีกกรอบความคิดเราไปเลย อย่าบอกว่าหนังสือภาพเหมาะแค่กับเด็กอนุบาล เพราะมันจะทำให้เด็กหลายคนขาดโอกาส ขาดพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ หรือกระทั่งตัดโอกาสให้ภาพได้ทำงานกับพวกเขาด้วย”
ฉัน <> ภาพ <> เรื่องราว และ วิชวล ลิตเทอเรซี
ยิ่งเด็กได้รู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามามีความหมายต่อตนเอง ก็ยิ่งมีโอกาสเรียนรู้มากขึ้น การได้ทำงานกับเยาวชนทั้งในโรงเรียนทางเลือกชั้นนำ สถานพินิจ และชุมชนแออัดซึ่งมีพื้นเพแตกต่างกัน ทำให้ครูไนซ์ทิ้งความคิดที่จะจัดกิจกรรมการอ่านโดยเล่าข้อความตามหนังสือเป๊ะๆ แล้วหันมาอ่านเพื่อเชื่อมโยงเด็กเข้ากับเรื่องราวในหนังสือแทน บ้านกางใจจึงมักนำหนังสือหนึ่งเล่มมาเล่าด้วยวิธีที่ต่างกันไปและจัดกิจกรรมต่อยอดหลายรูปแบบ เช่น เล่ม “เม่นหลบฝน” อาจนำมาเชื่อมโยงกับฤดูกาล การแต่งตัวให้เข้ากับฤดู และการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนที่เราอาจไม่ค่อยอยากเล่นด้วย
“ถ้าเด็กคนนั้นไม่มีประสบการณ์แบบในเรื่องมาก่อน เขาก็อาจไม่เข้าใจ ไม่อินกับเรื่องนั้นเลย แต่ยิ่งเด็กได้เห็นว่านิทานเรื่องนี้เชื่อมกับอะไรได้หลากหลาย เขาก็จะยิ่งเห็นความยืดหยุ่น ฝึกทักษะการแก้ปัญหา เชื่อมโยงปัญหา … ถ้ามัวไปติดกับว่าหนังสือนิทานเล่มนี้เขียนบทมาแบบนี้ ควรเล่าแบบนี้เท่านั้น เราว่ามันจะทำให้หนังสือตัน น่าเสียดายการเรียนรู้ที่ถูกจำกัดไว้เพียงทางเดียว” เธอกล่าว
“ภาพก็เหมือนกัน ถ้าเขาไม่เคย ‘อ่านภาพ’ มาก่อน เขาอาจจะตีความสีหน้าท่าทางตัวละครได้ไม่ลึกนัก คือแค่เข้าใจว่าดีใจหรือเสียใจเป็นก้อนใหญ่ๆ แต่ถ้าเด็กมีโอกาสได้หัดอ่านภาพมาบ้าง เขาจะระบุได้ว่า คนนี้เศร้านิดเดียวนะ คนนี้น้ำตาไหลเลย เศร้ามาก คนนี้โกรธจนตัวแดงแล้ว เขาจะเห็นความซับซ้อนของอารมณ์มากขึ้น”
การอ่านออกเขียนได้เชิงทัศนาการ (visual literacy) หรือความสามารถในการอ่านภาพที่ว่านี้จำเป็นทั้งในชีวิตประจำวันและการศึกษา ครูไนซ์เล่าว่า ชั้นเรียนในต่างประเทศมีการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะนี้ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นการอ่านและวิเคราะห์สีหน้า อารมณ์ และเหตุการณ์ที่เห็น การอ่านแผนภูมิ แผนที่ อินโฟกราฟิก ไปจนถึงการจดบันทึกและนำเสนอความคิดโดยใช้ภาพประกอบที่ชัดเจน
“การอ่านภาพไม่ใช่แค่อ่านในหนังสือหรือรูปภาพ แต่คือการเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับโลกใบนี้ เช่น เด็กเห็นคุณพ่อคุณแม่ปวดท้องแล้วตีความสีหน้าได้ นั่นก็คือการอ่านภาพเบื้องต้น … แต่ในไทย การอ่านออกเขียนได้เป็นเรื่องของตัวอักษร พอขึ้นป. 1 ก็ต้องอ่านออกแล้ว เลยไม่ค่อยมีใครให้พื้นที่เด็กพัฒนาการอ่านภาพ ไม่ค่อยถามเด็กๆ แล้วว่า หน้าปกแบบนี้เห็นแล้วรู้สึกยังไงเหรอ เกิดอะไรขึ้น กลายเป็นว่าเราจะอ่านชื่อเรื่อง เขียนโดยใคร ภาพโดยใครทันที แล้วรีบตรงเข้าเนื้อหาที่เป็นข้อความที่จับต้องได้เลย” ครูไนซ์ยกตัวอย่าง ก่อนชี้ให้เห็นความสำคัญของภาพประกอบที่แสดงอารมณ์ชัดเจน
“ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสดูแลเด็กพิเศษแล้วพบว่า เขาแยกไม่ออกว่าใครหน้ายิ้ม หน้าโกรธ … เขาเห็นอารมณ์พื้นฐานแล้วเชื่อมโยงกับตัวเองไม่ได้ การที่ภาพแสดงอารมณ์ตัวละครให้ชัดเจนลงไปเลยจะช่วยได้มาก … อย่าง Flora and the Penguin ไม่มีถ้อยคำอะไร แต่เด็กก็ยังรู้ว่าเพนกวินตัวนี้มันถอนหายใจอยู่ เพนกวินตัวนี้มันโมโหอยู่ เด็กคนนี้ทำหน้าเหี่ยวอยู่ มันทำให้เราหลุดจากกรอบของคำได้หมดเลย”
Flora and the Penguin (2014) โดย มอลลี ไอเดิล
เป็นหนังสือภาพไร้คำแบบมีแฟลบ (แผ่นพับเปิดปิดได้)
เล่าเรื่องของเด็กน้อยและเพนกวินที่ผิดใจกันระหว่างเล่นสเก็ตน้ำแข็ง
แต่ก็กลับมาคืนดีและเล่นสนุกกันได้อีกครั้ง
จงศรัทธาในตัวเด็ก ตัวเอง และเรื่องเล่า
“เราอ่านแล้วรู้สึกหวั่นไหว มีความหวัง งดงาม ศรัทธา อ่านครั้งแรกมันทรงพลังมาก ตอนนี้เวลาเปิดหนังสือไร้คำเล่มใหม่ๆ ก็ยังว้าวอยู่ (หัวเราะ) สุดท้ายแล้วมันเหมือนเสียงในหัวเรามันเดินออกมา มันมีคำพูดมากมายอยู่ในหน้าเหล่านั้น ถ้าแค่ดู มันอาจไม่มีตัวอักษรแม้แต่คำเดียว แต่ในหัวเรามันคอยป้อนคำขึ้นมาอยู่” ครูไนซ์พูดถึง The Snowman หนังสือเล่มโปรด และหนังสือไร้คำอีกหลายๆ เล่มที่บ้านกางใจ
“หนังสือภาพเยอรมันมีความยืดหยุ่นมากๆ ทางความคิด เหมือนเขาไว้วางใจเด็ก ว่าเด็กอ่านได้ เขาศรัทธาว่าเด็กมีศักยภาพในการย่อย หนังสือของญี่ปุ่นก็เหมือนกัน หลายๆ เรื่องพวกเราได้แต่อิหยังวะ แต่เขาก็ผลิตออกมา
เขาเชื่อว่าคนอ่านมีวิจารณญาณ ซึ่งก็หมายถึงเด็กด้วย เขาไม่กลัวว่าเด็กเห็นภาพคนสูบบุหรี่แล้วจะไปสูบบุหรี่ทันที เราเลยได้เห็นความหลากหลายในโลกของนิทาน”
“เราได้ยินแม่ที่ร้านหนังสือคิโนะฯ พูดกับลูกว่า ‘เล่มนี้ไม่คุ้มเลย ไม่มีตัวอักษร ไปหยิบเล่มใหม่มาซิ’” ครูไนซ์เล่า “เราเห็นความกลัวของพ่อแม่ที่เข้าใจมาว่าความรู้ต้องจับต้องได้ตลอด แต่การที่หนังสือไม่มีตัวอักษร ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีความรู้เกิดขึ้น การเรียนรู้มันมีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเรากล้าลองและเชื่อจริงๆ หรือเปล่า เมื่อ ‘เด็ก’ ในตัวพ่อแม่ไม่ออกมา พวกเขาจะคิดทันทีว่าหนังสือเล่มนี้สอนเรื่องฤดูฝน เป้าหมายในหัวก็จะไปแค่ทิศนั้น แล้วก็จะเครียดและกดดันว่าเด็กต้องเรียนรู้แค่เรื่องนั้น คำแนะนำคือลองปิดข้อความ แล้วอ่านภาพดูก่อนเลยว่าเข้าใจมันว่ายังไง”
นอกจากเชื่อมั่นในตัวเด็กว่าจะเข้าใจเรื่องราวได้จากการดูภาพในหนังสือแล้ว ครูไนซ์เน้นย้ำด้วยว่า คนที่พ่อแม่ต้องศรัทธาที่สุดก็คือ ‘ตัวเอง’ การนำสายตาของผู้ใหญ่ลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเด็กๆ ที่กำลังหัดอ่านภาพและยังอ่านข้อความไม่ออก อาจช่วยปลดปล่อยเด็กน้อยที่ซ่อนในตัวผู้ปกครองออกมาพบกับลูกๆ ได้
“เราเข้าใจนะว่าการอ่านหนังสือไร้คำเองกับอ่านให้คนอื่นฟังมันต่างกัน บางเล่มเราหาวิธีเล่าอยู่นาน และมันจะยากกว่าหนังสือที่เราเห็นแพตเทิร์นเลยว่าจะอ่านยังไง … ผู้ปกครองบางคนบอกว่า อุ๊ย ทำไม่ได้หรอกค่ะ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นเด็กมานานแล้ว แต่ถ้าพ่อแม่เล่านิทานแบบเดิมๆ น่าเบื่อๆ เราจะหวังให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์จากอะไร หากเราอยากให้ลูกมีทักษะการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ตัวเราอาจต้องเริ่มกระโดดออกมาแก้ปัญหาไปพร้อมกับลูกก่อน” ครูไนซ์กล่าวอย่างหนักแน่น ก่อนให้คำแนะนำทิ้งท้ายเพื่อให้กำลังใจผู้ใหญ่ที่อยากลองเปิดโลกการอ่านภาพให้ตัวเองและเด็กๆ
“ถ้าถามว่า แล้วต้องเล่ายังไงล่ะ! บางครั้งลองใช้สัญชาตญาณดูบ้าง มันก็ไม่ผิดนะคะ”
Comments