ปันประสบการณ์ทำหนังสือภาพคำน้อยที่มีเด็กๆ เป็นศูนย์กลาง
- บ้างกางใจ
- 29 เม.ย.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 5 วันที่ผ่านมา
หนังสือภาพไม่ได้แค่เป็นสื่อกลางระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ปลุกจินตนาการและแรงบันดาลใจให้เด็กๆ บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้มากขึ้นด้วย ประสบการณ์สร้างสรรค์กิจกรรมพัฒนาเด็กอย่างยาวนานได้หล่อหลอมความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ครูคนหนึ่ง ก่อนที่ความเชื่อมั่นในพลังของเด็กและหนังสือภาพจะกลายมาเป็นแรงผลักดันครั้งใหญ่ ให้เธอเริ่มทำหนังสือภาพเล่มแรกที่คิดถึงเด็กๆ ในทุกขั้นตอน และนี่คือเรื่องราวเบื้องหลัง “ร้อน” หนังสือเกือบไร้คำเล่มแรกของครูไนซ์ - กะวิตา พุฒแดง
ทำไมจู่ๆ ถึงนึกได้ว่า เราอยากทำหนังสือ
เราเห็นพลังของหนังสือภาพไร้คำมานานแล้ว ต้องบอกว่าก่อนทำเรื่องนี้ เราเขียนหนังสือที่เล่าด้วยภาพหมดเลยเหมือนกันเป็นเล่ม 0.1 เกี่ยวกับขนม ซึ่งถึงจะมีข้อจำกัดที่ทำให้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ใจเรามันรู้สึกแล้วว่าถึงเวลาที่อยากทำหนังสือเอง
เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าเวลาเล่น เด็กๆ เขาบ่นว่า ร้อน เยอะขึ้น ตอนแรกเราคิดว่าอาจเป็นเพราะเด็กใช้เวลาในห้องแอร์เยอะ ไม่สนุกกับแดด แต่จริงๆ ในรอบ 10 ปีมานี้ เราเองเวลาออกไปเล่นกับเด็กที่บ่อทรายก็เริ่มรู้สึกร้อนจนไม่สบายตัวเหมือนกัน ความคิดเรื่อง “ร้อน” เลยเข้ามาอยู่ในใจเรา
ช่วงนั้นเราได้ไปเดินป่าเพื่อหาคำตอบบางอย่างให้ชีวิต แล้วไปเจอต้นไม้ใหญ่มากๆ เข้า ตอนอยู่ในเมือง เวลาได้กินของอร่อยสดชื่นแค่ไหน มันก็ไม่ตราตรึงใจเท่าเราได้ไปเจอต้นไม้บนภูเขาที่อยู่มาร้อยปี … รู้สึกเลยว่ามันมีพลังพิเศษแผ่ออกมาทำให้สงบเย็น ขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นว่าความร้อนส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นด้วย ไม่ใช่แค่มนุษย์อย่างเดียว พี่ที่เดินป่าเก่งๆ ก็บอกว่าแมลงปอกำลังหายไปเพราะอากาศเปลี่ยน … เราว่าเดี๋ยวนี้โลกมันร้อนขนาดมองจากนอกโลกยังเห็นเลยว่าร้อน ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น เราก็เลยอยากส่งต่อประสบการณ์เหล่านี้ให้เป็นซีนในหนังสือด้วย เริ่มจากเปิดฉากจากนอกโลก แล้วจบด้วยภาพจากนอกโลกเลย

ภาพเปิดเรื่องจากนอกโลก
ระหว่างนักวาดนักเขียนมีการทำงานกันอย่างไรบ้าง
ตอนนั้นบังเอิญเจอนักวาดภาพประกอบชื่อ มิมิ ซึ่งเก่งเรื่องวาดภาพพฤกษศาสตร์มาก เราชอบลายเส้นเขาก็เลยชวนมาทำงานด้วยกัน เราเองมีภาพในหัวอยู่ว่าอยากให้ต้นเรื่องเป็นประมาณไหน และตั้งสตอรีบอร์ดไว้บ้างแล้วว่าอยากให้ซีนเป็นแบบนี้ พอคุยเรื่องซีนตรงกันแล้ว กำหนดจำนวนหน้าแล้ว ก็ให้มิมิเอาไปต่อยอด
ขั้นตอนพัฒนาสตอรีบอร์ด
อะไรคือความท้าทายที่สุดของการสร้างต้นฉบับ
ช่วงที่ยากที่สุดและใช้เวลานานที่สุด คือการตกลงกันว่าเราจะเอาตัวละครเป็นเพศไหน หน้าตาเป็นแบบไหน ใช้เวลาเป็นเดือนๆ เลยกว่าจะพัฒนาจากคนก้างมาเป็นมีเนื้อหนัง (หัวเราะ)
ทำไมนานขนาดนั้น
เราอยากเน้นความหลากหลายของตัวละครเด็ก อาจจะเป็นเด็กที่มีลักษณะที่ไม่เป็นที่ยอมรับในกลุ่ม เช่น เราไม่ต้องการให้ตัวละครผิวขาวจั๊ว ตาโต สวยพิมพ์นิยมเหมือนใช้ฟิลเตอร์ติ๊กตอก ซึ่งเด็กๆ ก็อาจเห็นกันมาเยอะจนเข้าใจว่าสิ่งที่คือความดีงาม ส่วนอะไรที่ไม่เหมือนจากนั้นอาจทำให้รู้สึกไม่ดี เข้าใจไปว่ามันบ่งบอกความสวย-ไม่สวย ความสะอาด-สกปรก หรือแม้แต่สถานะสังคม นี่เป็นเรื่องใหญ่มากและคุณมิมิก็เห็นด้วย
แล้วก็มีเรื่องผมหยักศก อย่างเราเองผมหยิก ตอนเด็กๆ โดนบูลลี่มาเยอะ (หัวเราะ) 10 ปีก่อนตอนเราเป็นครู มีเด็กเข้ามาบอกเราว่า "ครูก็ผมหยิกเหมือนหนูเลยเหรอ ในโลกนี้หนูนึกว่าไม่มีใครผมหยิกเหมือนหนูซะแล้ว" เราสงสัยมากเลยว่า หนูผ่านอะไรมา ก็เลยอยากเป็นกำลังใจให้เด็กผมหยิกว่า หนูก็มีความสุขได้นะ
นอกจากนี้แล้วก็มีเรื่องสัดส่วนร่างกายเด็ก ตัวละครที่นักวาดสเก็ตช์มาตอนแรกมีเสน่ห์มาก ตัวสูงน่ารักเลย แต่เราพบว่าความยาวแขนขาถ้าดูจากพัฒนาการแล้ว น้องน่าจะอายุประมาณ 9-12 ขวบ ซึ่งโตไปหน่อยสำหรับเรื่องนี้ เราเลยค่อยๆ ส่งรูปเด็กบ้านกางใจในวัย 3-5 ขวบให้พี่นักวาดดูเป็นตัวอย่างสเกลหัว ตัว แขนขา แล้วก็เล่าความน่ารักของเด็กๆ ให้เห็นพัฒนาการ การเคลื่อนไหวของเด็กๆ ว่าเป็นประมาณไหน ทำให้สรีระและอิริยาบถตัวละครลดอายุลงมา
ตัวละครน้องเอวาในดราฟต์แรกๆ
ตัวอย่างภาพสรีระและอิริยาบทเด็กเล็กที่ใช้เป็นแบบสร้างตัวละครภายหลัง
เหมือนนักวาดก็ได้เรียนรู้ไปด้วยเลย
ใช่ค่ะ พอตัวละครชัดแล้ว มิมิก็วาดตัวละครทำท่าหลายๆ ท่าให้ แม้บางท่าไม่ได้ใส่ในนิทานแต่ก็ช่วยให้เราเห็นตัวละครตรงกัน
ตัวละครน้องเอวาในหลายอิริยาบท
ส่วนเรื่องอื่นก็ไว้ใจมิมิเลย เพราะเค้าสนใจและละเอียดเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว และให้ความสำคัญกับการใส่ต้นไม้แถบประเทศเขตร้อนลงไปในเรื่องให้สมจริง สัตว์แต่ละตัว มิมิก็ถึงขั้นไปถามนักชีววิทยาเลยว่าขามันเป็นยังไง แต่เราก็เพิ่มความแฟนตาซีเข้าไปด้วยนะ เช่น ดอกไม้ที่ใหญ่เกินสเกล หรือเรื่องที่น้องเอวา (ตัวละครเด็กหญิงในเรื่อง) ใส่เดรสแดงเข้าป่า เพราะทั้งนักวาดนักเขียนชอบชุดแบบนี้ มันอาจจะไม่สมจริงนัก แต่เราก็ต้องการแสดงความสุขและอิสระของการได้เป็นตัวของตัวเองลงไปด้วย

ภาพ “รวมพลัง” ผองเพื่อนบนโลก ในหนังสือและในสตอรีบอร์ด
ถ้าหนังสือต้องไม่มีคำเลย เราจะ “เขียน” มันออกมาได้ยังไง
ตอนทำสตอรีบอร์ด เราเขียนบรรยายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหน้านั้นเยอะมาก เพื่อให้มิมิอ่านแล้วทำงานง่าย แต่ในตัวเล่มจริงๆ จะไม่มีการเว้นพื้นที่ให้ตัวอักษรเลย เพราะเราอยากชูภาพให้เป็นพระเอก ส่วนตัวอักษรจะอยู่ตรงไหนค่อยไปหาที่ให้อยู่ทีหลัง ตอนแรกเราตั้งใจให้ไม่มีคำเลย ก็ค่อยๆ ลดคำลงมา 60% 40% ก็กลัวเหมือนกันนะว่า ถ้าไม่มีคำพ่อแม่จะไม่ซื้อ
ภาพดราฟต์ที่มีคำและภาพจริงที่ตัดคำออกแล้ว
แล้วเราบอกตัวเองและนักวาดของเรายังไงให้ผ่านความกลัวนั้นมาได้
เรามีประสบการณ์ตรงที่ดีมากเลยกับหนังสือไร้คำ ในขณะที่เด็กๆ มากมายไม่เคยมีหนังสือภาพเป็นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้การคาดหวังว่าเด็กทุกคนจะมีครอบครัวอบอุ่นมาอ่านหนังสือให้เขาฟังมันก็เป็นมายาคติมากๆ เราเลยคิดว่าถ้าเขามีหนังสือที่ภาพทำงานกับเขาเองได้ มันก็คงดี ปลายทางหนังสือเล่มนี้เราไม่รู้เลยว่ามันจะไปถึงไหน แต่ภาพที่เรามีมันชัดเจนว่า ไม่ว่าเด็กในเมืองหรือห่างไกลได้เล่มนี้ไป ไม่ว่าจะมีบ้านหรือไร้บ้านไร้ครอบครัว อย่างน้อยภาพน่าจะสื่อสารอะไรบางอย่าง และสร้างความรู้สึกหรือจินตนาการให้ผู้อ่านได้ เราเห็นความงดงามตรงนั้น สุดท้ายเรากับมิมิก็ลดคำลงจนเกือบหมด
เห็นหนังสือเล่มนี้ยังมีตัวอักษรลายมืออยู่แบบนับคำได้ ครูไนซ์เขียนเองเลยไหม
จะบอกว่านี่เป็นฟอนต์เด็กเขียนเองเลยนะ เราอยากให้ตัวอักษรที่มีอยู่น้อยนิดในเรื่องแสดงลีลาการเขียนของเด็กจริงๆ อยากให้เด็กและผู้ใหญ่ที่อ่านหนังสือได้เห็นว่า ลายมือสวยไม่สวยไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเลย ผู้ใหญ่อย่าเพิ่งรีบชมว่าใครเขียนสวยไม่สวย อย่างน้อยมันก็อ่านออก เหมือนเวลาเจียวไข่ไม่สวย มันอาจจะอร่อยก็ได้
จากประสบการณ์เรียนโรงเรียนรัฐของไนซ์เอง เราโดนครูตีเยอะมากเรื่องลายมือเกินเส้น ฯลฯ เราเลยต่อต้านการเขียนไปเลย ตอนเราป.5 ป.6 เวลาล้างจานก็ทำจานแตกเยอะมาก มารู้ทีหลังว่าเพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กพัฒนาไม่พอจากการรีบโดดไปเขียนก่อนที่จะได้พัฒนากล้ามเนื้อ ตั้งแต่ที่ทำงานมา เราก็พบว่าถ้าให้ความสำคัญกับเด็กมากพอ ถึงวัยหนึ่งเขาจะเขียนได้เสมอ แล้วก็จะอ่านออกเขียนได้เอง แต่ถ้าจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้มันไปโฟกัสแค่ความสวยงามทางตา เราอาจจะตัดตอนเด็กคนนึงออกจากการศึกษาไปเลย
ลายมือเด็กๆ ในหน้าหนังสือ
ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเด็กๆ ทำฟอนต์ยังไง
ทีมทำฟอนต์เราเป็นพี่ฝาแฝดวัย 11 ขวบกับน้อง 7 ขวบที่เราสอนการเขียนเขามาให้สนุกกับการเขียน บอกตามตรงเราเองก็ไม่รู้จะทำฟอนต์ยังไงดี แต่เด็กสามคนนี้เขาช่วยกันคิดว่าจะเอา iPad มา แล้วใช้ปากกา iPad เขียน จากนั้นก็ก็อปปี้นู่นนี่กัน ถึงขั้นดาวน์โหลดโปรแกรมเขียนฟอนต์มาเลย

ลายมือเด็กๆ บนปก
ปรากฏว่าเขาพบว่า ถ้าใช้ iPad สามคนพี่น้องจะเขียนพร้อมกันไม่ได้ แถมโปรแกรมยังปรับตัวหนังสือเด็กๆ จนไม่มีเอกลักษณ์ คุมน้ำหนักไม่ได้ ถ้าเป็นแอปดีๆ ก็มีค่าใช้จ่าย เขาก็เลยแก้ปัญหากันใหม่หมดด้วยการเขียนลงกระดาษ คำที่น้องเล็กยังเขียนไม่ได้เองก็จะมีตัวอย่างให้ดูก่อน จากนั้นเราก็เอาเส้นดินสอบางๆ ของเขามาขยายให้หนาขึ้น ลงสีเพื่อให้เห็นลายมือชัดๆ นอกจากนี้ เด็กๆ ก็คิดเองด้วยว่า ขนาดของคำว่า “ร้อน” ในแต่ละหน้าต้องไม่เท่ากัน หมาต้องพูดว่า “ร้อน” ตัวใหญ่เพราะมันตัวใหญ่ ส่วนแมลงพูดว่า “ร้อน” ตัวเล็กเพราะมันตัวเล็กกว่า
คณะทำฟอนต์รุ่นเยาว์
เด็กๆ มีส่วนช่วยพัฒนาหนังสือและวิธีอ่านหนังสือเล่มนี้บ้างไหม
เราเอาหนังสือไปให้เด็กอ่านเยอะเลย จะมีเด็กอยู่สองกลุ่มคือเด็กที่มีปฏิสัมพันธ์กับเรามาก่อน รู้เรื่องหนังสือ มีน้ำใจกับเรา เขาก็จะรักหนังสือนี้เลย ส่วนเด็กที่เราไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วยมาก่อน เราพบว่าภาพก็สื่อสารกับเขาได้ตรงกับเด็กกลุ่มแรก นอกจากนี้อายุก็มีผล เด็กเล็กอาจหาคำบอกใบ้ไม่เจอว่าตัวละครหายไปไหนในหน้าสุดท้าย แต่เราก็ไม่ได้ให้คำตอบนะ เด็กๆ จะได้มีกระบวนการคิดเอง
ส่วนเด็กที่อ่านออกแล้ว เราก็จะปิดคำไว้ก่อนเพื่อดูว่าภาพทำงานกับเขาแค่ไหน เด็กกลุ่มนี้จะสังเกตเห็นความเชื่อมโยงของตัวละครในแต่ละหน้าและเวลาที่เปลี่ยนไปบ้างแล้ว เช่น ต้นไม้ใหญ่ขึ้น แสดงว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว ฯลฯ
ส่วนกับเด็กกลุ่มออทิสติกกับดาวน์ซินโดรม อายุประมาณ 5-7 ขวบ เราใช้หนังสือเล่มนี้ชวนเรียนรู้เรื่องอารมณ์ ความสุข-ทุกข์ ร้อน-หนาว บางทีเขาเห็นตัวละครเด็กทำท่าทางร้อน แต่บอกไม่ได้ว่าตัวละครกำลังร้อน กับตัวละครที่เป็นสัตว์เขายิ่งอ่านสีหน้าไม่ออก พออ่านจบเราก็ทำกระบวนการต่อโดยเอาถังน้ำอุ่นกับเย็นมาเช็กว่า เค้าเข้าใจจริงมั้ยว่าอันไหนคือร้อน อันไหนคือเย็น
ดูหนังสือเล่มนี้มีรายละเอียดหลายอย่างมาก ยังมีอะไรที่เรายังไม่ได้พูดถึงกันอีกบ้างไหม
เรามีข้อสังเกตหนึ่งว่า การที่หนังสือเล่มนี้มันไม่มีรองปกอะไรเยอะๆ ดูเหมือนจะทำให้เด็กอ่านได้ต่อเนื่องตั้งแต่หน้าปกจนถึงปกหลังเลย มันดูลื่นไหล ที่ปกหลังเองเรากับมิมิก็มีกิมมิกซ่อนไว้ ถ้าเด็กหมุนหนังสือก็จะเห็นตัวละครเดินทวนเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ เหมือนกำลังเต้นรำอยู่บนโลก
กิมมิกที่ปกหลัง
กระดาษที่เราใช้ก็เป็นกระดาษที่พับแล้วไม่เป็นรอย (พับหน้าหนังสือให้ดู) หรือถ้าเด็กๆ อยากจะระบายสีที่หน้ารองปกทั้งหน้า-หลังก็ระบายติด ลบได้ด้วย

รองปกที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ระบายสี
คาดหวังอะไรบ้างกับหนังสือเล่มนี้
เราไม่ได้ทำหนังสือทฤษฎีจ๋าว่าทำไมโลกมันถึงร้อน แต่เราอยากให้เด็กได้ “รู้สึก” ก่อน เพราะพอเขารู้สึกแล้ว การเรียนรู้จะง่ายขึ้นในขั้นต่อไป เราอยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นตัวกลางสื่อสารว่า “ใครๆ ก็ร้อน” เด็กได้รู้สึกกับฤดูกาลที่เปลี่ยนไป อยากให้เขาได้สัมผัสกับ “ความว้าว” ของการได้เห็นต้นไม้

ภาพต้นไม้ใหญ่และเวลาที่ผันผ่าน
เด็กหลายคนเดี๋ยวนี้ไม่มีโอกาสได้สัมผัสธรรมชาติเท่าไหร่ เวลากินแตงโมก็ไม่ได้เห็นเป็นลูกๆ แต่เห็นแบบเป็นสามเหลี่ยมแดงๆ มาแล้ว และก็ไม่รู้ว่าส่วนสีเขียวกินไม่ได้ ผู้ใหญ่เองพอไม่ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาตินานๆ เราก็อาจลืมความอัศจรรย์ในสิ่งสามัญธรรมดาไป แต่เราหวังว่า หนังสือเล่มนี้มันจะทำให้ใครสักคนลุกขึ้นมาเยี่ยมต้นไม้ใหญ่ใกล้บ้าน ในสวนสาธารณะ หรือถ้าขับรถผ่านถนนที่มีต้นไม้ใหญ่ก็อาจจะเริ่มหันไปมองเขาบ้าง
พอเราเชื่อมโยงกับโลกแล้ว เราจะรู้ว่าเราตัวเล็กนิดเดียว เห็นความเชื่อมโยงระหว่างตัวเรากับเพื่อนสัตว์ ว่าอยู่บนโลกเดียวกัน ทั้งนก ทั้งปลา หรือกระทั่งแมลงเต่าทองและมดแดงตัวเล็กจิ๋วที่พูดไม่ได้ ตะโกนไม่ได้ มองแทบไม่เห็น แต่น่าจะเป็นเพื่อนใจของเด็กๆ เพราะเขาชอบสังเกตสัตว์เล็กๆ อยู่แล้ว
อยากแนะนำวิธีอ่านหนังสือคำน้อยหรือไร้คำให้พ่อแม่ผู้ปกครองอย่างไรบ้าง
เราสังเกตว่า หนังสือเล่มนี้เวลาเด็กอ่าน เราต้องตอบคำถามน้อยมาก ทั้งที่ปกติเด็กเล็กๆ จะเต็มไปด้วยคำถามนู่นนี้ แต่กับผู้อ่านผู้ใหญ่นั้นจะเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไม เพราะอะไร เราก็เลยอยากจะชวนให้พ่อแม่อ่านด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ดู ลองดูตัวละครก่อนว่า พวกเขารู้สึกอะไรบ้าง แล้วใช้สัญชาตญานทำงานไปกับภาพ สังเกตว่าเรารู้สึกยังไง ทำไมรู้สึกแบบนั้น อยากต่อยอดเล่าอะไรเพิ่มมั้ย อย่าเพิ่งให้คำมาชี้นำเรา แล้วมันจะสนุกมากเลย
* หนังสือภาพไร้คำเรื่อง ร้อน เพิ่งเปิดให้จองจนถึงวันที่ 25 เมษายน บนเพจบ้านกางใจ โดยการสั่งซื้อทุกเล่มจะสมทบทุนส่งหนังสือปกอ่อนฟรีให้ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก / สถานสงเคราะห์ / โรงพยาบาลเด็ก / มูลนิธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก รวมไปถึงกลุ่มเด็กชายขอบอีก 1 เล่ม
Comments